เทคนิคการต้อนรับลูกค้า สำหรับคนที่คิดจะเปิดร้านอาหารหรือกำลังคิดจะทำธุรกิจร้านอาหารที่จำเป็นต้องมีลูกน้อง วิธีนี้คือวิธีที่ต่างชาตินั้นทำกันมานานแล้ว โดยเฉพราะในประเทศญี่ปุ่น ประเทศนี้ขึ้นชื่อด้านการบริการมากเขาให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นพิเศษหรือแม้แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดในไทย เขาจะให้การบริการนั้นเป็นหลักเพราะถ้าลูกค้าไม่มี เท่ากับการขายของเขานั้นก็ทำไม่ได้ใช้อาหารอร่อยแค่ไหนบริการแย่ๆ ก็ไม่ทำให้ร้านนั้นเติบโตไปได้ แต่ถ้าทำแบบที่เราแนะนำได้ รับรองว่าลูกค้าแน่นร้านทุกวัน ไม่จำเป็นว่าคุณจะเป็นร้านเล็ก ๆ ข้างถนน ร้านใหญ่ในห้างหรือภัตตาคารหรูๆ เราต้องคิดว่าลูกค้ายังไงก็เป็นคนสำคัญสำหรับเราเสมอ เมื่อเขาจ่ายเงินให้กับเราเขาย่อมคาดหวังจะได้อาหารที่อร่อย และบริการที่ดีจากเราด้วย เราก็ควรที่จะบริการเขาเหมือนกับการที่เราอยากได้และคาดหวังเมื่อเราไปเข้าร้านอาหาร โดยที่เราบริการดีๆ ก็เพื่อหวังว่าลูกค้าจะกลับมาใช้บริการเราในครั้งต่อๆ ไปอีก ในสมัยนี้ให้อาหารอร่อยมากแค่ไหนแต่ถ้าบริการไม่ดีก็มีส่วนทำให้ลูกค้าไม่เข้าร้านก็ได้ การบริการจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะสำคัญไม่แพ้กับรสชาติของอาหารเลย เรามาดูวิธีดีๆ ที่ร้านค้าชอบมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

เทคนิคการต้อนรับลูกค้า

1. เมื่อก้าวแรกของลูกค้าก้าวขาเข้ามาในร้าน เราจะต้องฝึกให้พนักงานของเรานั้นรีบ “วิ่งก็ได้ แต่ต้องวิ่งอย่างระมัดระวังด้วยนะ” เข้ามาหาลูกค้าทันทีพร้อมกับสวัสดีและทักทายลูกค้าตามแต่คอนเซ็ปของแต่ละร้าน แล้วถามกับลูกค้าว่า “มากี่ท่านคะ/ครับ” แต่ถ้าในเวลานั้นพนักงานทุกคนกำลังยุ่งกับการบริการลูกค้าในร้านท่านอื่นอยู่ ก็จะต้องมีพนักงานอย่างน้อยคนหนึ่งคนที่หันไปสบตาลูกค้า เพื่อที่จะได้เป็นสัญญาณบอกให้ลูกค้ารู้ว่าเราเห็นคุณลูกค้าแล้ว เราจำเป็นต้องฝึกให้พนักงานทุกคนพยายามสังเกตุหน้าประตูร้านอยู่เสมอ แต่ถ้าอยู่ใกล้กับทางเข้าหน้าร้านให้บอกว่ากับลูกค้าว่ารอสักครู่ไม่ใช้ตะโกนนะครับ เสียมารยาทเกินไป ถ้าร้านใหญ่ก็ควรหาพนักงานต้อนรับไว้รอหน้าร้านเลยก็ยิ่งดีแถมยังสามารถแนะนำโปรโมชั่นต่างๆ ของทางร้านเพื่อเป็นการตัดสินใจของลูกค้าเองด้วย สำหรับร้านเล็กๆ ก็แม่ค้าพ่อค้าเองนั้นละ ต้องทำเองหรือจะให้คนเสริฟอาหารเป็นคนทำก็ได้

2. เมื่อเราหาโต๊ะให้ลูกค้านั่งได้แล้ว พนักงานจะต้องรีบเอาน้ำมาให้ก่อนเลยอันดับแรก ควรมีพนักงานอีกคนค่อยเตรียมน้ำไว้ให้พอดีกับลูกค้าที่เข้ามาทาน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาระหว่างนั้นไปกับการเลือกอาหาร น้ำที่เอามาให้จะได้ให้ลูกค้ามีอะไรดื่มระหว่างเลือกเมนูรออาหาร หรือถ้าเป็นร้านบุฟเฟต์ต่างๆ ที่มีจุดบริการน้ำก็บอกลูกค้าว่า น้ำดื่มอยู่ทางด้านโน้นทางด้านนี้ก็ได้ ถ้าเป็นในต่างประเทศเขาจะมีผ้าเช็ดมืออุ่นๆ ถ้าตอนนั้นเป็นหน้าหนาว หรือผ้าเย็นๆ สำหรับหน้าร้อน ก็จะดีมากๆ แต่ไม่ต้องไปคิดตังเขานะถือเป็นบริการจากเรา ( บางร้านที่เคยไปกินอาหารแพงแล้ว ยังจะมาคิดราคาผ้าเย็นกันอีก….ประสบการณ์ตรง ) แล้วก็ตามด้วยเมนูอาหาร ช่วงระหว่างนี้จะให้พนักงานยืนรอรับเมนูเลยก็ได้ แต่ไม่ใช้ทำหน้าว่าสั่งได้แล้วนี้รีบอยู่นะ ลูกค้าเองก็ใช้ว่าจะคิดนานจนเกินไปจนทำให้พนักงานไม่สามารถไปบริการลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ได้

3. เราต้องคอยฝึกให้พนักงานสังเกตลูกค้าในร้านว่า ลูกค้าจะเงยหน้าจากเมนูเพื่อจะสั่งอาหารเพิ่มเมื่อไร แต่ถ้าลูกค้าถึงกับยกมือเรียกนี้พนักงานก็ต้องรีบมาหาลูกค้าให้ไวเลย ยิ่งหนักไปกว่านั้นถ้าลูกค้าถึงกับชะเง้อหรือควักมือ หรือต้องเรียกหาพนักงานเองนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดด้านของการบริการเลย

4. เป็นเรื่องการเสิร์ฟอาหาร ไม่ว่าลูกค้านั้นจะสั่งอาหารอะไรไปก็ตามแม่ค้าหรือพ่อครัวก็จะต้องสามารถทำอาหารตามลำดับการกินก่อนหลัง มาเสิร์ฟได้ต้องรู้ว่าอาหารแต่ละชนิดกินตอนไหนก่อน ตอนไหนหลัง เช่น หากลูกค้าสั่งต้มยำกุ้ง,ยำต่างๆ,ทอดมันปลาหรือไข่เจียว,ปลาหมึกนึ่งมะนาว พ่อหรือแม่ครัวก็ต้องสามารถที่จะเรียงลำดับการทำอาหารได้เพื่อให้พนักงานเสิร์ฟมาให้ลูกค้าทานได้ตามลำดับแบบตัวอย่าง ดังนี้
ลำดับแรกต้อง อาหารประเภทยำ -> ตามด้วย ต้มยำกุ้ง -> ทอดมันปลาหรือไข่เจียว -> ตามด้วย ปลาหมึกนึ่งมะนาว บางร้านแม่ครัวเห็นอาหารนั้นทำง่ายก็ทำมาให้ก่อน ทั้งที่เป็นอาหารหลักทำให้ลูกค้าหนักท้องจนไม่อยากทานอาหารต่อ หรือทานอาหารที่สั่งไม่หมดได้ นั้นไม่เป็นผลดีกับร้านเราเลย ให้ยึดหลักตามนี้

4.1 อาหารประเภทกับแกล้มพวกจานเล็กๆ

4.2 ตามด้วยอาหารหลัก ข้าวผัดข้าวเปล่า แกงต่างๆ

4.3 ถึงจะเป็นอาหารหวานหรือผลไม้

5. ตอนที่พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ พนักงานก็ควรจะบอกชื่ออาหารจานนั้นๆ ด้วยว่าคืออะไรเราจะให้บ่อยๆ เมื่อเราไปกินกับเพื่อน คือเมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็มานั้งงงกันว่ามันคืออะไรเพราะบางที่หน้าตาในเมนูไม่เหมือนกับอาหารจริงๆที่ทำมาเสิร์ฟ ถ้าเป็นพวกอาหารหม้อไฟ,กระทะร้อน พนักงานต้องเตือนลูกค้าด้วยว่า ขอบหม้อหรือขอบกระทะนั้นร้อน ลูกค้าจะได้ระวัง พร้อมกับบอกด้วยว่าอาหารชนิดนี้มีวิธีกินแบบไหน อย่างร้านใหญ่ๆ ตะมีพวกน้ำจิ้มต่างๆ ซอส ผัก และอีกมากมายมาด้วย ก็บอกไปว่าซอสนี้ใช้จิ้มหรือใช้ราดบนอาหาร ผักนี้กินควบคู่จะทำให้อร่อยยิ่งขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่อาหารแต่ละชนิดมีวิธีกินที่ไม่เหมือนกันลูกค้าทุกคนไม่รู้หรอกว่ามันกินยังไงไม่เหมือนกับน้ำพริกผักต้มบ้านเรานะ พนักงานจึงจำเป็นต้องบอกให้ลูกค้ารู้เสมอ

6. ถ้าเป็นอาหารประเภทที่ต้องตักแบ่งทานกันหลายๆ คน อย่างเช่นอาหารที่สั่งทานกันคนละอย่างสองอย่าง จานลูกค้าส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิดรสชาดอาหารปนกันไปมาจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องทนทานอาหารที่มีรสปนๆ กัน พนักงานควรจะยกจานแบ่งไปพร้อมกับอาหารจานใหม่เลย อันนี้น่าเห็นใจสำหรับพนักงานล้างจานที่ต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า

7. ถ้าเป็นอาหารจานด่วนอย่างเช่นอาหารกลางวันลูกค้ามาพร้อมกันหลายคน และสั่งอาหารจานเดียวคนละเมนู ทางร้านจะต้องจัดการให้ทุกคนได้อาหารพร้อมกันได้ หรือเวลาไม่ห่างกันมากนักลูกค้าจะได้ไม่ต้องนั่งรอกันกิน และไม่ควรทำโต๊ะโน้นจานโต๊ะนี้จานเอาให้หมดเป็นโต๊ะๆ ก่อนและถ้าลูกค้ามาไม่พร้อมกันก็ต้องบอกว่าเราทำตามอันดับ หรือจะบอกว่าถ้าอยากได้เร็วควรแนะนำเมนูคิวก่อนหน้าไปด้วยเลยจะได้ทำได้พร้อมกัน

8. พนักงานจะต้องแวะเวียนมาเก็บจานอาหารที่ทานหมดแล้วเสมอๆ เพื่อทำให้ลูกค้านั้นรู้สึกไม่อึดอัดที่มีจานเปล่าว่างกองตรงหน้าเยอะแยะ ลูกค้าจะได้ไม่ต้องเอาจานมากองๆ ซ้อนกันเองด้วย

9. เมื่ออาหารที่เสิร์ฟครบแล้ว พนักงานจะนำบิลมาเสียบไว้ที่โต๊ะ เราทานเสร็จแล้วก็ลุกไปจ่ายที่แคชเชียร์ได้เลย ไม่ต้องคอยเรียกหาพนักงานให้วุ่นวายอีก และพนักงานก็ไม่ต้องเดินไปเดินมาเพื่อรับบิลทอนเงิน

อาหารเป็นเรื่องของรสชาด และบริการ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการเราซ้ำ เราไม่ควรมองข้ามวิธีต่างๆ ถึงแม้มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราก็พยายามทำให้เป็นเรื่องปกติ ลูกค้านั้นเมื่อได้รับบริการจากเราดีแล้วแถมอาหารยังอร่อยอีกด้วยแล้ว ยังไงเขาจะกลับมากินร้านเราอีกครั้งโดยเขาแทบไม่รู้ตัวด้วยว่าที่มากินร้านเราอีกครั้งเป็นเพราะติดใจในรสชาดอาหารหรือติดใจบริการของเราก็ตาม แต่เราจะรู้ได้ว่าเราสามารถทำรายได้กลับลูกค้าอย่างนี้ไปตลอดและจะได้มากขึ้นถ้ามีการบอกต่อว่าร้านนี้บริการดีมากพนักงานใส่ใจลูกค้าเร็วและทันใจ